เราะเธอคือเพื่อนสนิท - เราะเธอคือเพื่อนสนิท นิยาย เราะเธอคือเพื่อนสนิท : Dek-D.com - Writer

    เราะเธอคือเพื่อนสนิท

    เพราะเธอคือเพื่อนสนิท จึงไม่มีสิทธิ์จะบอกเธอ..........ว่าฉันรักเธอ

    ผู้เข้าชมรวม

    1,414

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    1.41K

    ความคิดเห็น


    17

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 พ.ย. 47 / 20:38 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เพื่อนสนิท
                                                            
                                                                      เพราะเธอคือเพื่อนสนิท  จึงไม่มีสิทธิ์จะบอกเธอ  ว่า........ฉันรักเธอ
          
      เสียงลูกบาสกระทบพื้นเป็นจังหวะ  สลับกับเสียงหัวใจผมซึ่งเต้นตุบตับอยู่ในอก  ผมค่อยๆก้าวออกไป  ตาจ้องฝ่ายตรงข้ามซึ่งเป็นหนุ่มผิดเข้ม  ร่างยักษ์  กำลังกางแขนกันผมไม่ให้ฝ่าไปข้างใน  ผมก้าวเท้าพร้อมโยกตัวไปทางซ้าย  เขาเคลื่อนตัวเข้ามาป้องกันและพยายามแย่งลูก  แต่ผมเบี่ยงกลับด้านขวาและเลี้ยงบอลฝ่าเข้าไปจนได้  พร้อมทั้งส่งลูกให้กับเพื่อนอีกคน  แล้วเขาก็ชู้ตทำคะแนนได้  เสียงนกหวีดเป่าหมดเวลาพอดี
          เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีดังไปทั่วอัฒจันทร์ในทันที  คนที่ผมส่งลูกให้เมื่อครู่หันมายิ้มอย่างยินดีกับชัยชนะของทีมเรา  เหลือการแข่งอีกเพียงสองครั้งก็จะได้เป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยไปแข่งระดับจังหวัดแล้ว  ผมยิ้มตอบและเอื้อมมือไปตบบ่าเขาเบาๆ  พร้อมทั้งแซวว่า
          “ฟลุค  นายระวังสาวๆของนายเถอะ  โน่นไง  มากันแล้ว”
          สาวๆนับสิบวิ่งกรูกันลงจากอัฒจันทร์เข้ามารุมล้อมฟลุค  ส่งน้ำและขนมให้เขาจนแทบรับไม่ทัน  นี่เป็นเหตุการณ์ปกติซึ่งผมเห็นจนชินตาแล้ว  ทุกๆครั้งที่มีการเล่นบาส  ไม่ว่าจะซ้อมหรือแข่ง  ถ้าฟลุคลงเล่นด้วยละก็  ทั้งอัฒจันทร์จะเต็มไปด้วยสาวๆตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีสี่หิ้วเสบียงมาคนละไม้คนละมือ  และนั่งส่งเสียงเชียร์เป็นกำลังใจ  แม้แต่ตอนที่ฟลุคจับลูกในเวลาไม่ถึง3วินาที  เสียงกรี๊ดก็ดังลั่นแล้ว  ก็หน้าตาฟลุคน่ะจัดอยู่ในประเภทหล่อโคตร  แถมยังตัวสูง เท่ห์ เรียนเก่ง  ฐานะที่บ้านก็รวยระดับพันล้าน  เพอร์เฟคหาใครเทียบเท่ายาก  แต่เขาก็ยังด้อยกว่าผู้ชายธรรมดาอย่างผมอยู่เรื่องหนึ่งคือ  เขาเล่นบาสเก่งสู้ผมไม่ได้  (จริงๆก็เกือบได้น่ะแหละ  ถ้าหมั่นฝึกฝนอีกสักนิด)  อ้อ! อีกอย่าง  ผมมีเพื่อนที่แสนดีที่สุด  น่ารักที่สุดอยู่คนหนึ่ง  เธอเป็นสาวหวาน  มักจะมานั่งคอยดูผมเล่นบาสเสมอ  เธอมีที่ประจำเวลาผมมองขึ้นไป  จะสามารถเห็นรอยยิ้มแสนหวานได้ถนัดตา  และผมก็ยิ้มตอบเธอเสมอ  วันนี้ก็เช่นกัน  แต่เพราะความเลินเล่อมัวแต่มองข้างบนไม่มองข้างหน้า  ทำให้ผมชนกับผู้หญิงคนหนึ่งเข้า  ทั้งน้ำและขนมที่เธอถือมาหกเลอะเทอะไปหมด แล้วเธอกับผมก็สบตากัน  วินาทีนั้นหัวใจผมแทบจะหยุดเต้น  เธอสวย  น่ารัก  ยิ้มหวาน  แก้มเป็นสีชมพูเรื่อๆ  เธอทำให้ผมตะลึงไปนานทีเดียว  จนกระทั่งเธอพูดขึ้นก่อน
          “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
          “เปล่าครับ”
          เสียมารยาทจริงๆ  ผมเป็นผู้ชายแท้ๆ  แต่กลับต้องให้เธอเป็นฝ่ายถามก่อน  ผมนึกละอายตัวเอง  จึงก้มลงช่วยเก็บของ
          “ขอโทษครับ  พอดีผมไม่ทันมองทาง  คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”
          เธอยิ้มแบบที่ทำให้ผมหัวใจแทบหยุดเต้นอีกแล้ว
          “ไม่เป็นไรค่ะ”
          ผมกับเธอช่วยกันเก็บขนมซึ่งหล่นเกลื่อนพื้น  ผมนึกภาวนาตอนนั้นให้มือเราบังเอิญสัมผัสกันเหมือนในละคร  แต่มันไม่เป็นอย่างนั้น  เพราะมีใครบางคนเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
          “เกิดอะไรขึ้นเหรอ  ฟางเป็นยังไงบ้าง”
          ฟลุคเข้ามาประคองสาวสวยคนนั้นหน้าตาเฉย  และหันมายิ้มให้ผม
          “นายไม่เป็นไรนะ”
          ผมฝืนใจพยักหน้าทั้งๆที่ตอนนั้นรู้สึกเจ็บใจมาก  ฟลุคเดินควงนางในฝันของผมออกไปเสียแล้ว  ผมเดินคอตกออกมาจากสนาม  ชาเขียวเย็นเจี๊ยบขวดนึงถูกยัดใส่ในมือผม  แม้ว่าชาเขียวจะเป็นของโปรดหลังเล่นบาสของผมเสมอ  แต่วันนี้ผมไม่อยากดื่มเลย
          “เป็นอะไรไปล่ะต้น”
          ร่างบางระหงนั่งลงข้างผม  ณ ศาลาริมน้ำ  ซึ่งเป็นมุมโปรดที่ผมมักจะมานั่งทำรายงาน  อ่านหนังสือ  คุยกินเล่นอยู่เป็นประจำ  ผมส่ายหน้า  แต่ผมก็รู้ว่านั่นไม่ได้ทำให้เธอเชื่อผมเลย
          “อยากให้ช่วยอะไรก็บอกนะ”
          เธอบอกพลางตบหลังผมเบาๆเป็นการปลอบใจ  แล้วกลับไปนั่งง่วนอยู่กับกองรายงานต่อ  ส่วนผมก็นั่งห้อยขาเตะน้ำเล่นไปเรื่อยๆ
          “โฟร์เคยรักใครไหม  แบบว่ารักแรกพบน่ะ”
          เธอเงยหน้าขึ้นมองอย่างสนใจ  ขนตางอนยาวกะพริบถี่ๆเหมือนกำลังนึกคำตอบ  แต่สิ่งที่เธอเอ่ยต่อมา
      กลับเป็นคำถามเสียนี่
          “ต้นเจอเหรอ  ใครล่ะ  เล่าให้ฟังบ้างสิ”
          ผมเริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง  ซึ่งดูเหมือนเธอจะเห็นทั้งหมดแล้วจากบนอัฒจันทร์  โฟร์พยักหน้าคล้อยตามสิ่งที่ผมเล่าจนจบ  สรุปก็คือ  ผมรู้ว่าเธอชื่อฟาง  และดูจากท่าทางเมื่อครู่ก็เดาไม่ยากกว่าเธอกับฟลุคเป็นแฟนกัน  ความจริงข้อนี้ทำให้ผมห่อเหี่ยวใจมาก  เพราะผมไม่ต้องการแย่งแฟนเพื่อนแน่นอน
          “เขาไม่ได้เป็นแฟนกันหรอกนะ”
          โฟร์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม  ยิ้มแบบที่ต้องการบอกว่า  ผมนี่ช่างไร้เดียงสาเสียจริง
          “จริงเหรอ”
          “คนนั้นเป็นน้องสาวฟลุค  เพิ่งกลับจากอเมริกา  เธอกับเขาเป็นเพื่อนกันแบบไหนนะ”
          นั่นสิ  ผมกับฟลุคเป็นเพื่อนกันแบบไหนเนี่ย  แค่น้องสาวคนเดียวของเขาผมยังไม่รู้จัก  ก็ผมรู้แค่ฟลุคมีน้องสาวคนหนึ่งเรียนอยู่อเมริกา  แต่เขาจะกลับมาตอนไหน  หน้าตาเป็นไงผมไม่สน  
          “ทีนี้สบายใจแล้วสิ  ความรักของต้นคงราบรื่นแล้ว”
          “แต่ต้นกับเขายังไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ”
          “ก็ทำความรู้จักเสียสิ  นายต้น”
          และทั้งหมดนี้ก็เป็นสาเหตุที่ผมกับโฟร์ยังคงนั่งอยู่ที่นั่นจนถึงเวลาเย็น  เธอแนะนำให้ผมลองเปลี่ยนแปลงการแต่งกายใหม่  เพราะผู้ชายอย่างผม  หน้าตาไม่ค่อยจะหล่อ(แต่ก็พอใช้ได้)  ใส่แว่นหนาเตอะ  ทรงผมก็สุดแสนจะเชย  แถมนิสัยใจร้อน  ปากเสีย(อาจจะยังไม่เห็นตอนผมโมโห  แต่โฟร์รู้ดี  เพราะเธอกับผมรู้จักกันมานานมาก)  คงจะยากที่จะหาสาวมาตกหลุมรัก  ผมควรจะตัดผมทรงใหม่ที่ดูเท่ห์กว่านี้  ทรงแบบนายฟลุคคงไม่เลว  ใส่คอนเทคเลนส์แทนแว่น  ฉีดน้ำหอมสักหน่อย  แล้วก็หัดพูดคำหวานซะบ้าง  หัดชมผู้หญิงให้เป็น  ต้องทำตัวให้สุภาพ  ท่าเดินก็ต้องให้เท่ห์ให้ดูดีเอาไว้  ไอ้ทั้งหมดที่เธอสาธยายมา  ผมไม่ทำเลยสักอย่าง  เพราะผมเห็นว่า  การจะรักใครสักคน  ควรรักที่ตัวตนของคนๆนั้น  ไม่ใช่รูปร่างหน้าตาภายนอก  และสิ่งที่เธอพูดมา  ก็ใช่ว่าน้องฟางของผมเห็นแล้วจะถูกใจ  ฟังๆดูแล้ว  ผู้ชายแบบนี้น่าจะเหมือนพระเอกในนิยายที่โฟร์ชอบอ่านเสียมากกว่า
          “เธอชอบดอกไม้อะไร”
          “ก็ไปสืบเองสิ”
          นั่นไงล่ะ  เธองอนผมอีกแล้ว  เพราะผมก็อย่างนี้แหละ  เป็นประเภทไม่ชอบก็ไม่ทำ  และก็บอกเธอตรงๆเลยว่าไม่อยากทำ  ผมเคยขัดใจเธอจนเธองอนไปแล้วหนนึงตอนเรียนมัธยม  เธอขอให้ผมไปเรียนวาดภาพเหมือน  เพราะเธอถูกใจภาพที่รุ่นพี่วาดเธอคู่กับผมในงานโรงเรียน  เธอบอกว่าเธอไม่มีเวลา  เพราะต้องเรียนพิเศษทั้งวัน  ส่วนผมไม่ได้เรียนสักอย่าง  แต่ผมปฏิเสธไปเพราะผมอยากเล่นบาสมากกว่า  บาสคือชีวิตจิตใจของผม  เธอก็เลยเก็บของแล้วกลับบ้านไปเลย
          วันต่อมาผมขี่จักรยานมาที่มหาวิทยาลัยอย่างเคย  ก็หอผมอยู่ใกล้ๆเองนี่นา  ผมเห็นน้องฟางกำลังเดินอยู่คนเดียว  ก็อยากแวะเข้าไปทักทาย  แต่ผมไม่กล้าพอ  เลยได้แต่แอบมองเธออยู่อย่างนั้น  บังเอิญเธอหันหน้ามาทางผม  สายตาของเราประสานกันพอดี  แล้วเธอก็ยิ้มให้  ยิ้มให้ผมจริงๆ  ผมจึงยิ้มตอบและรีบขี่จักรยานไปหาเธอทันที
          “สวัสดีครับ  มาแต่เช้าเลย”  ผมทัก  (จริงๆตอนนี้ก็9โมงกว่าแล้ว  มันเช้าตรงไหนกันหา)
          “ค่ะ  พี่ต้นขี่จักรยานมาที่นี่ทุกวันเหรอคะ”  โอ้พระเจ้า  เธอรู้จักชื่อผมได้ไงเนี่ย  ผมดีใจที่สุดเลย
          “ครับ  น้องฟางเรียนอยู่คณะไหน”  ผมรีบถาม  เพราะถ้าหากอยู่ไกล  ผมจะได้อาสาขี่จักรยานไปส่งเธอ
          “บริหารธุรกิจค่ะ”  ผมแทบจะร้องไชโยออกมาดังๆ  เพราะนอกจากจะได้อาสาไปส่งเธอแล้ว  ผมยังเรียนอยู่คณะเดียวกับเธออีก  สวรรค์ช่างเข้าข้างผมเสียจริง
          “ทางเดียวกันเลยครับ  ถ้าไม่รังเกียจ  จะซ้อนท้ายจักรยานผมไปก็ได้นะ”  เธอพยักหน้ารับคำอย่างยินดี  แล้วขึ้นนั่งข้างหลัง  มือเรียวบางทั้งสองของเธอเกาะเอวผมไว้หลวมๆ  แทบจะทำให้ผมขี่จักรยานผิดทิศผิดทางเลย
          “ทำไมน้องฟางไม่ขับรถมาเองล่ะครับ”
          “เปลืองน้ำมันค่ะ  ต้องช่วยกันประหยัดพลังงาน”  นอกจากสวยแล้วยังมีความคิดดีอีกต่างหาก  ผมแอบชื่นชมอยู่ในใจ
          “แล้วน้องฟางมายังไงล่ะครับ”
          “เดินมาค่ะ  ฟางอยู่หอใกล้ๆนี่เอง”  นั่นสินะ  เด็กนอกอย่างเธอคงชอบชีวิตอิสระ  อยากพึ่งตนเอง  ทั้งๆที่บ้านของเธอก็ใหญ่โตหรูหราราวกับคฤหาสน์  ก็บ้านนายฟลุคนั่นหละครับ  ผมเคยไปสองหน
          “ตรงไหนเหรอครับ  ให้พี่ไปรับทุกเช้าดีไหม”

          เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปรวดเร็ว  ในที่สุดจักรยานคู่ใจของผมก็มาจอดอยู่หน้าตึกคณะบริหารธุรกิจโดยสวัสดิภาพ  น้องฟางโบกมือให้ผมก่อนจะเดินเข้าไปในตึก  ขณะที่โฟร์เพื่อนรักของผมก็กำลังเดินเข้าไปเช่นกัน
          “โฟร์”  ผมเรียกแต่เธอไม่หันมา  ยังไม่หายงอนผมอีกเหรอ  ผมจึงรีบวิ่งตามไปดักหน้าเธอ
          “ดีกันนะ  อย่างอนเลยนะ”
          “โฟร์ไม่ได้งอน”  นี่เหรอไม่ได้งอน  เฮ้อ! ผู้หญิงนะผู้หญิง
          “ไม่ได้งอนก็ยิ้มให้ต้นหน่อยสิ  ต้นขอโทษ  ไม่ได้ตั้งใจจะขัดใจโฟร์เลย”
          “นี่ขนาดไม่ได้ตั้งใจนะ  ต้นขัดใจโฟร์มากี่ครั้งแล้ว”
          “เดือนนี้ก็สิบครั้งได้แล้วมั้ง”  ก็ใช่น่ะสิ  ก็โฟร์น่ะ  ชอบคิดอะไรไม่เข้าท่าอยู่เรื่อย
          โฟร์ค้อนผม ส่วนผมได้แต่ยิ้มขำๆ
          “ไปเรียนกันดีกว่านะ”  ผมยื่นมือให้เธอจับ  โฟร์ยอมจับมือผม  เธอหายงอนผมจนได้  ระหว่างทางผมก็ได้เล่าเรื่องที่เจอน้องฟางตอนเช้าให้เธอฟัง  
          “งั้นพรุ่งนี้  ต้นก็ต้องไปรับน้องฟางที่หอใช่ไหม”
          ผมพยักหน้า  ต่อจากนี้ไป  ผมก็ไม่ไปส่งโฟร์ที่บ้านเหมือนเมื่อก่อน  แต่โฟร์คงเข้าใจผม
          “แล้วตอนเย็น  ก็ต้องไปส่งน้องฟางที่หอใช่ไหม”
          “ขอโทษนะ”
          “ไม่เป็นไร  โฟร์เข้าใจ”
          “ต้น”  เธอเรียกผมอีกครั้งก่อนจะเข้าห้องเรียน  “น้องฟางชอบดอกลิลลี่สีขาวนะ”
      โฟร์มักจะน่ารักกับผมเสมอเลย
          วันรุ่งขึ้น  ผมขี่จักรยานพร้อมทั้งช่อลิลลี่สีขาวไปรอน้องฟางแต่เช้า(วันนี้เช้าจริงๆนะ)  เธอลงมาจากหอเมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนัก  ผมยื่นช่อลิลลี่ให้เธอ  เธอรับไปด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ  เวลาเธอเขินดูน่ารักมาก
      แล้ววันนี้  เธอก็ซ้อนท้ายจักรยานผมไปมหาวิทยาลัยอีก  ความรักของผมช่างสดใสเสียจริง
          น้ำตาไหลอาบแก้มหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ตรงมุมตึกคณะบริหารธุรกิจ  เธอยืนสะอึกสะอื้นอยู่ตรงนั้นโดยไม่รู้ตัวว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเข้ามายืนเบื้องหลังเธอ  กำลังมองดูสิ่งที่เธอดูอยู่เช่นกัน  ภาพของหญิงชายคู่หนึ่งกำลังจอดรถจักรยานไว้ที่หน้าตึกคณะ  มือของหญิงสาวถือช่อลิลลี่สีขาวช่อใหญ่  เธอรีบหลบไปขณะที่สองคนนั้นเดินผ่านเข้าไปในตึก
          “เชียร์เขา  แล้วมาแอบร้องไห้แบบนี้เหรอ”
          “ฟลุค”  เธอหันไปมองเขาอย่างตกใจ  พลางรีบเช็ดน้ำตา
          “ไม่ต้องรีบเช็ดหรอก  อยากร้องก็ร้องออกมาให้หมดเลย”
          “เปล่านะ  ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะฟลุค”
          “อย่าโกหกฉันอีกเลย  ฉันเฝ้าดูเธอมานานพอที่จะรู้ว่าเธอคิดยังไงกับเขา”
      เฝ้าดูมานาน?  โฟร์คิดและมองหน้าฟลุคอย่างประหลาดใจ
          “ฉันเข้าใจความรู้สึกของคนที่แอบรักคนอื่นดีนะโฟร์”  ฟลุคเอ่ยพลางมองตาโฟร์อย่างมีความหมาย
      แต่โฟร์กลับหลบตาเขา
          “ฉันจะเข้าเรียนแล้ว  ฟลุคเองก็รีบไปเถอะนะ”  ฟลุคเรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์  ซึ่งอยู่ข้างๆตึกนี้
          “ให้โอกาสฉันบ้างนะโฟร์”  ฟลุคกล่าวทิ้งท้ายขณะที่โฟร์เดินขึ้นตึกไป
          วันนี้ผมนั่งเรียนข้างโฟร์เหมือนอย่างเคย  เธอดูเงียบเป็นพิเศษ  ผมชวนคุยอะไรเธอก็จะเฉยๆ  แต่ผมก็ไม่ได้สนใจการเปลี่ยนแปลงของเธอมากนัก  เพราะผมยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องให้ความสนใจมากกว่า
          หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป  การแข่งบาสเริ่มขึ้นอีกครั้ง  สาวๆก็มาเชียร์นายฟลุคอย่างล้นหลามเช่นเคย  ครั้งนี้ผมทำผลงานได้ดีเป็นพิเศษ   เพราะมีหวานใจของผมคือน้องฟางมาให้กำลังใจติดขอบสนาม  ตอนนี้เธอเป็นแฟนผมแล้ว  และเย็นนี้เราจะไปเลี้ยงฉลองด้วยกัน
          แล้วทีมผมก็ชนะ(ผมบอกแล้ว  มีคนเก่งๆอย่างผมซะอย่าง)  น้องฟางส่งชาเขียวเครื่องดื่มโปรดมาให้ผมทันทีที่ผมเดินออกมา  ส่วนนายฟลุคก็เหมือนเดิม  มีสาวมารุมล้อมเขาจนแทบหายใจไม่ออก  แต่ดูเหมือนเขา
      พยายามจะแทรกตัวออกไป
          “วันนี้เราจะไปทานข้าวที่ไหนกันนะ”
          “ร้านหลังมหาวิทยาลัยนี่เองครับ  อร่อยมากเลย”
          น้องฟางกับผมเดินพลางคุยพลางอย่างมีความสุข  แล้วผมก็เหลือบไปเห็นโฟร์กับฟลุค  ทั้งคู่กำลังยื้อแย่งอะไรบางอย่าง  ขวดชาเขียว  ตั้งแต่รู้จักกันมา  ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านายฟลุคชอบชาเขียวเหมือนผม  เอ๊ะ!หรือว่าโฟร์ตั้งใจจะเอาชาเขียวมาให้ผม  นั่นสิ  ทุกครั้งที่แข่งบาสเสร็จเธอก็จะเอาชาเขียวมาให้  แต่ครั้งนี้  ผมมัวสนใจน้องฟางจนลืมความหวังดีจากเพื่อนของผม  ผมจึงเดินเข้าไปหาทั้งคู่  แต่ยังไม่ทันจะไปถึง  ผมก็เห็นภาพที่ทำให้ตะลึง  ฟลุคดึงโฟร์เข้ามากอด  แล้วโฟร์ก็ร้องไห้ซบอกฟลุค  ใจผมวูบลง  เกิดอะไรขึ้น โฟร์ร้องไห้ทำไมกัน  แล้วความสัมพันธ์ของสองคนนี้ล่ะ?  เสียงของน้องฟางขัดขึ้นก่อนที่ผมจะตั้งคำถามภายในใจไปมากกว่านี้
          “อย่าห่วงเลยค่ะ  พี่ฟลุคเค้าดูแลพี่โฟร์ได้”
          “หมายความว่าไง  นี่มันเรื่องอะไรกัน”  ผมงงไปหมดแล้วนะเนี่ย
          “พี่ฟลุคแอบชอบพี่โฟร์มาตั้งนานแล้วค่ะ  ไม่ว่าพี่โฟร์จะเดือดร้อนอะไร  พี่ฟลุคต้องช่วยได้แน่”  คำบอกเล่าของน้องฟางทำให้ผมอึ้งไปเลย  
          แล้ววันนั้นผมก็แทบไม่มีกะจิตกะใจจะทานข้าวกับน้องฟางเลย  มัวแต่คิดเรื่อยเปื่อยวนไปวนมา  เธอคงสังเกตเห็นความผิดปกตินี้จึงทักขึ้น
          “พี่ต้นเป็นอะไรไปคะ”
          “เปล่าครับ”
          “คิดมากเรื่องพี่โฟร์เหรอคะ”
          “ไม่รู้ว่าโฟร์ร้องไห้ทำไม”
          “ยังไงพี่ฟลุคก็ต้องช่วยเหลือเต็มที่อยู่แล้ว”
          “เขาแอบชอบโฟร์ตั้งแต่เมื่อไหร่”
          “ปีหนึ่งค่ะ”
          “ทำไมน้องฟางรู้  ตอนนั้นยังอยู่อเมริกาไม่ใช่เหรอ”
          “พี่ฟลุคโทรไปเล่าให้ฟังบ่อยๆค่ะ  แล้วก็เล่าเรื่องของพี่ต้นด้วยนะคะ” เธอตอบอย่างอายๆ
          ผมพยักหน้าอย่างพอเข้าใจ  มิน่าล่ะ  เธอถึงได้รู้จักชื่อผม  แล้วเราก็ออกจากร้าน  อาหารมื้อนี้ของผมไม่ สวีทอย่างที่คิดแฮะ  
      วันรุ่งขึ้น  ผมเจอโฟร์ตามปกติ  ผมต้องรู้ให้ได้ว่าเธอเป็นอะไร  ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นผมไม่สนใจเธอสักนิด  
          “ช่วงนี้ดูเงียบไปนะ”
          ผมเปรยๆขึ้น  แต่โฟร์ก็ยังไม่ตอบอะไร
          “มีอะไรบอกต้นได้นะโฟร์”
          “ไม่มีอะไรหรอกต้น”
          “โฟร์ไม่เห็นต้นเป็นเพื่อนแล้วเหรอ”
          ผมคงพูดแรงไปนิด  เธอจึงหันมาจ้องตาผม  ผมจ้องตอบอย่างไม่ลดละ  พยายามค้นหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น  สิ่งที่ผมเห็นคือความเศร้าที่เจ้าตัวปกปิดไม่มิด  แล้วโฟร์ก็เป็นฝ่ายหลบตาผมก่อน
          “แค่เครียดเรื่องสอบเท่านั้นเอง”
          ใจผมอยากจะถามเรื่องวันนั้น  เรื่องที่เธอร้องไห้  เรื่องที่เธอคิดยังไงกับฟลุค   แต่เมื่อเธอตอบแบบนี้  เธอคงไม่ต้องการให้ผมรู้เรื่องของเธอ  ผมถามไปก็เสียเวลาเปล่า
          จากวันนั้นมา  ผมรู้สึกเครียด  ชีวิตไม่มีความสุขเลย  การสอบผมก็ทำได้ไม่ดีนัก  คงเป็นเพราะไม่มีคนช่วยติวเหมือนเมื่อก่อน  ผมจึงหาเวลาทุกเย็นไปทำอะไรที่คลายเครียด  ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมไม่คิดจะทำมาก่อนในชีวิต  ผมอยากเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ  โดยเฉพาะกับโฟร์
          “โดดซ้อมบาสอีกแล้วเหรอ  จะแข่งอยู่แล้วนะ”
          “เขาอาจมีธุระจำเป็นก็ได้”
          “แล้วโฟร์รู้ไหมว่าเขาไปไหน”  หัวหน้าทีมบาสคาดคั้นกับโฟร์  ขณะที่ฟลุคมองตาโฟร์อย่างเห็นใจ
          “เรื่องนี้คงต้องถามแฟนเขาค่ะ  ชื่อฟางที่อยู่ปีหนึ่ง”
          ใช่แล้วครับ  ผมโดดซ้อมบาสหลายครั้งแล้ว  เพราะผมเบื่อ  ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมว่าผมจะรู้สึกเบื่อกับสิ่งที่ผมรักเป็นชีวิตจิตใจแบบนี้  ผมไม่อยากเห็นหน้าใครบางคนที่นั่น  ผมอยากทำสิ่งใหม่ที่ผมเพิ่งลองทำเมื่อไม่นานมานี้มากกว่า  และผมก็เริ่มสนุกกับมันแล้วสิ
          แต่แล้วเพราะการขาดซ้อมที่บ่อยเกินเหตุของผม  ทำให้ใครบางคนแอบสะกดรอยตามไปเจอความลับของผมจนได้  ก็น้องฟางนั่นแหละครับ  เธอแอบเดินตามผมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้  ผมว่าผมพยายามระวังตัวแล้วนะ  สุดท้าย  ผมก็เลยจำใจสารภาพกับเธอ
          สาวสวยแก้มสีชมพูหยุดเดินและหันซ้ายหันขวาอย่างประหลาดใจ  ด้วยสังหรณ์ใจว่ามีคนเดินตามมา  เมื่อพบว่าไม่มีใครจึงเดินต่อ  แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว  เพราะมีมือหนึ่งมาวางบนบ่าเธอ
          “พี่โฟร์  เดินตามฟางมาหรือคะ”
          “จ้ะ  พี่แค่อยากมาถามเรื่องต้น  เห็นเขาขาดซ้อมบ่อยมาก”
          “คงแอบโดดไปเรียนวาดภาพน่ะค่ะ”
          “วาดภาพ?”  โฟร์เริ่มงง  เพราะเท่าที่รู้มา  ต้นไม่ชอบวาดภาพเลย
          “ค่ะ  บอกว่าถ้าวาดเก่งแล้ว  จะให้ฟางเป็นนางแบบให้ค่ะ  แต่เท่าที่เห็นตอนนี้  ฝีมือพี่ต้นก็ดีแล้วนะคะ  ไม่นานก็คงได้วาดภาพฟางแล้ว”  เธอคุยให้ฟังอย่างภาคภูมิใจ  “ฟางไปก่อนนะคะ  เดี๋ยวมีเรียน”
          ลับร่างน้องฟางแล้ว  โฟร์ก็ได้แต่ร้องไห้ออกมา  ยิ่งห้ามเท่าไหร่  น้ำตาก็ยิ่งไหลมากขึ้นเท่านั้น  เธอเคยขอให้เขาเรียนวาดภาพ  แต่เขาก็บอกว่าไม่ชอบ  พอมาตอนนี้  เพื่อน้องฟางแล้ว  เขายอมทำสิ่งที่เขาไม่ชอบ  ทั้งๆที่ทั้งคู่รักกันมากขนาดนี้  แต่เธอก็ยังตัดใจจากเขาไม่ได้  เธอนี่มันโง่จริงๆ
          อีกประมาณสองเดือน  การแข่งบาสระดับมหาลัยครั้งสุดท้ายก็จะเริ่มขึ้น  แต่ตอนนี้ผมเหนื่อย  ไม่อยากซ้อม  ผมจึงกลับบ้านที่ต่างจังหวัด  กลับไปรดน้ำพรวนดินสวนกุหลาบขาวดีกว่า  ผมชวนน้องฟางไปด้วย  นายฟลุคก็ติดสอยห้อยตามมา  แต่สำหรับอีกคนหนึ่ง  ที่จะต้องกลับไปช่วยผมทุกปี  คราวนี้ผมกลับไม่กล้าชวนเธอ  อาจเป็นเพราะเราเริ่มห่างกัน  ก็ดีเหมือนกัน  เพราะลึกๆแล้ว  ผมไม่อยากเห็นเธออยู่ใกล้นายฟลุคนักหรอก
          วันเดินทางมาถึง  ผม น้องฟาง และนายฟลุคช่วยกันขนกระเป๋าขึ้นรถตู้  นายฟลุคมีท่าทางเหมือนกำลังรอใครอยู่  แล้วผมก็เห็นผู้หญิงผูกหางม้า  หน้าตาน่ารักคนหนึ่ง  หิ้วกระเป๋าเดินเข้ามา  คงไม่ต้องให้ผมบอกหรอกนะว่าเป็นใคร  นายฟลุคกุลีกุจอเข้าไปช่วยทันที  และเราสี่คนก็เดินทางมุ่งสู่บ้านที่ต่างจังหวัดของผม  ระหว่างทางทุกคนต่างก็เงียบ  ยกเว้นน้องฟางคนเดียวที่ยังส่งเสียงเจื้อยแจ้วน่ารักน่าเอ็นดู  แล้วน้องฟางก็ถามคำถามที่ทำให้สามคนบนรถต้องหันมามองหน้ากัน
          “ไม่ยักรู้นะคะว่าพี่โฟร์จะมาด้วย  ตอนแรกพี่ต้นบอกว่าพี่โฟร์ไม่มา”
          โฟร์หน้าเจื่อนลงทันที  ที่เธอมาครั้งนี้เพราะฟลุคเป็นคนชวน  และเธอก็รู้จักพ่อแม่ของต้นดี  อยากกลับไปเยี่ยมท่านบ้าง
          “พี่เป็นคนชวนมาเองจ้ะ  ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกนายก่อน”  นี่เป็นเสียงฟลุค  ผมทำท่าทางเฉยๆ  ไม่ได้ตอบอะไร  ยิ่งทำให้บรรยากาศดูน่าอึดอัดเข้าไปใหญ่  
          “โฟร์ขอโทษ  โฟร์ไม่รู้ว่าต้นไม่อยากให้มา”  แย่แล้วสิ  คำพูดตัดพ้อแบบนั้นทำให้ผมใจเสีย  ผมไม่ได้ว่าอะไรเธอเลยสักคำ  ทำไมถึงใจน้อยขนาดนี้นะ
          “ต้นไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”  นี่เป็นเสียงของผมเอง
          เมื่อเราไปถึง  พ่อแม่ผมดีใจมาก  โดยเฉพาะแม่  รีบจัดเตรียมทำอาหารเป็นการใหญ่  ผมแนะนำน้องฟางในฐานะแฟน  ส่วนฟลุคก็เป็นเพื่อนร่วมทีมบาสของผม  สำหรับโฟร์ พ่อแม่ผมรู้จักเธอดีกว่าใคร  หลังจากทานข้าวกันเรียบร้อย  ทุกคนก็เริ่มแยกย้ายกันทำงาน  น้องฟางติดใจงานกลุ่มแม่บ้านของแม่ผม  จึงเข้าไปเรียนทำดอกไม้ประดิษฐ์ในบ้าน  ส่วนฟลุคก็สนใจงานผักสวนครัวของพ่อผม  ทั้งคู่ก็ปลีกตัวไปอีกทาง  เหลือแต่ผม  โฟร์   และคนงานอีกสองสามคน  ที่ยังคงตัดดอกกุหลาบอยู่ในสวน
          บรรยากาศช่างน่าอึดอัดเสียจริง  ทั้งๆที่สถานที่แห่งนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นไอแห่งความทรงจำของเด็กชายและเด็กหญิง  ที่เคยช่วยกันทำงาน  ทั้งรดน้ำ  พรวนดิน  ใส่ปุ๋ยดอกไม้จนเจริญงอกงาม  แต่ดูเหมือนภาพความขัดแย้งในปัจจุบันจะลบเลือนอดีตที่สวยงามไปจนหมด  ผมเผลอมองร่างบอบบางที่ทำงานอย่างคล่องแคล่วด้วยจิตใจที่เหม่อลอย
          “โอ๊ย!”  แล้วเสียงร้องของเธอก็ดึงจิตของผมกลับเข้าสู่โลกของความจริง  ผมรีบวิ่งไปดูเธอทันที  หนามกุหลาบตำนิ้วจนเลือดไหล  ผมจะช่วยเอาหนามออก แต่เธอพยายามดึงมือกลับ
          “อยู่นิ่งๆสิ  เดี๋ยวเลือดก็ยิ่งไหลหรอก”  แต่ดูท่าทางเธอจะเจ็บ  เพราะมือผมหนักไปหน่อย  
          “ปล่อยโฟร์นะ ไม่เอา เจ็บอ่ะ”  ผมแอบยิ้มกับคำพูดแบบเด็กเอาแต่ใจของเธอ
          “เรียบร้อยแล้ว”  ผมเอ่ย  ก่อนที่เราจะเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน  ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันแค่ระยะที่สามารถสัมผัสถึงลมหายใจของกันและกันได้  หัวใจผมเต้นระรัวเร็วยิ่งกว่าตอนแข่งบาสเสียอีก  ผมไม่เข้าใจตัวเองเลย  ใบหน้าของผมค่อยๆยื่นเข้าไปใกล้เธออีก  ใกล้เธออีก  แม้ว่าสมองจะสั่งให้ผมหยุด  แต่หัวใจของผมหยุดไม่ได้  และร่างกายผมก็เชื่อฟังหัวใจผมมากกว่า ตอนนี้ผมเริ่มรับรู้ถึงความหวานของริมฝีปากเธอจากการแตะกันเพียงแผ่วเบา แล้วผมก็ได้สัมผัสกับหยดน้ำที่ตกลงมาในมือผม ซึ่งกำลังประคองมือเธออยู่...........โฟร์ร้องไห้
          ผมรีบผละออกจากเธอในทันที  น้ำตาโฟร์ไหลลงมาไม่หยุด  ผมทำอะไรลงไป  ผมทำให้เธอร้องไห้  เธอวิ่งหนีผมไป  แต่ผมไม่ได้วิ่งตาม  ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น  รู้สึกเจ็บปวดใจเหลือเกิน
          โฟร์ขอตัวกลับบ้านในบ่ายวันนั้น  ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ  นายฟลุคก็ลากลับไปด้วย  ก็ดีเหมือนกัน  เขาจะได้ช่วยปลอบใจโฟร์  โฟร์คงเกลียดผม  คงกำลังสาปแช่งการกระทำเลวๆของผม  ผมเสียใจจริงๆ  แล้วผมจะหาโอกาสไปขอโทษเธอ
          คืนนั้นผมนอนไม่หลับ  เอาแต่นั่งวาดภาพไปเรื่อยๆ  ภาพผู้หญิงสาวสวยที่ผมรู้จักมาเป็นสิบปี  ภาพผู้หญิงคนที่กำลังเปลี่ยนแปลงความรู้สึกบางอย่างในใจผม  เสียงเคาะประตูดังขึ้น
          “เข้ามาเลยครับ”
      ผมรีบเก็บภาพนั้นก่อนที่ใครจะทันได้เห็น  
          “อ้าว น้องฟาง  ยังไม่ง่วงอีกเหรอครับ”
          “ค่ะ  จะมาชวนพี่ต้นออกไปเดินเล่นน่ะค่ะ”  
          ผมรับคำ
          “วันนี้พี่ต้นดูเงียบๆจังค่ะ  เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
          “ไม่มีอะไรหรอกครับ”
          “แล้วพี่โฟร์เค้าเป็นอะไรคะ  ทำไมถึงร้องไห้”
          ทุกคนพากันสงสัยผม  เพราะผมเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับเธอ  ก่อนที่เธอจะร้องไห้  แต่ผมก็จนใจจะเล่า  ไม่อยากให้โฟร์เสียหาย  และผมก็กำลังกลัวใจตัวเอง
          “พี่ไม่รู้ครับ”  ผมปฏิเสธแบบนี้มาเป็นสิบครั้งแล้ว
          “เมื่อไหร่พี่ต้นจะวาดภาพฟางล่ะคะ”
          “คงต้องฝึกฝีมืออีกหน่อยครับ”
      น้องฟางทำหน้าจ๋อย  แต่ก็ไม่พูดอะไร  ผมโยกหัวเธอเล่นไปมา  และบอกว่า
          “พี่สัญญา  ว่าพี่จะวาดภาพฟางทันทีหลังจากกลับไป”  นั่นแหละถึงทำให้เธอยิ้มออกมาได้

      การไปพักผ่อนที่บ้านครั้งนี้ยิ่งทำให้ผมหนักใจมากขึ้นอีก  ผมกลับไปซ้อมบาสเหมือนเดิมเพราะไม่อยากให้ใครเดือดร้อน  ระหว่างซ้อมวันนี้  ผมเป็นลมและต้องไปหาหมอ  หมอบอกให้ผมรักษาสุขภาพและอย่าเครียดให้มากนัก  หลังจากการครั้งบาสครั้งสำคัญ  ผมทำให้ทีมแพ้  ผมเจ็บปวดมากและสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง  แม้ไม่มีใครในทีมโทษผม  แต่ผมก็รู้ตัวเองดี  ว่าผมสมควร.......ลาออก
          ผมกลับมาให้เวลากับงานวาดภาพได้เต็มที่  ผมวาดภาพ  วาดภาพ  และก็วาดภาพ  ไม่มีอะไรทำให้ชีวิตผมมีค่าได้เท่ากับสิ่งนี้อีกแล้ว  วันนี้น้องฟางมาหาผมที่หอ
          “พี่ต้นวาดภาพฟางเสร็จหรือยังคะ”
          “พี่จะวาดได้ไง  น้องฟางยังไม่ได้มาเป็นแบบให้พี่เลย”
          “ต้องมีนางแบบด้วยเหรอ  พี่ต้นก็วาดจากจินตนาการสิคะ”
          “มันยากนะน้องฟาง  พี่ยังไม่เก่งขนาดนั้น”
          “แล้วทำไม.........”
          “อะไรเหรอครับ”
          “ทำไมพี่ต้นถึงวาดภาพพี่โฟร์ได้  แถมยังวาดได้ไม่รู้ตั้งกี่ภาพ”  เธอโพล่งออกมา  ผมรู้สึกตกใจไม่น้อย  เธอรู้ได้ยังไงกัน
          “พี่....เอ่อ.......”  ผมพยายามคิดหาข้อแก้ตัว  “พี่รู้จักโฟร์มาตั้งสิบกว่าปีนะ  พี่ก็จำหน้าเขาได้แม่นสิ”
          “ไม่จริงหรอกค่ะ”  เธอพูดพลางเริ่มสะอึกสะอื้น  “ที่พี่วาดภาพพี่โฟร์ได้  ไม่ใช่เพราะพี่รู้จักเธอมาเป็นสิบปีหรอก  แต่เป็นเพราะเธอเป็นคนที่อยู่ในหัวใจพี่มาเป็นสิบปีต่างหากล่ะ  พี่ถึงได้จำภาพเธอได้แม่นขนาดนั้น”
          “ไม่จริง”  ผมกำลังอึ้ง  สิ่งที่ผมกลัวมันเกิดขึ้นแล้วเหรอ
          “ทำไมจะไม่จริง  พี่หลงรักเธอ  พี่หลงรักพี่โฟร์”  น้องฟางตะโกนก่อนจะวิ่งออกไป  ผมได้สติจึงรีบวิ่งตามเธอไปจนทันที่หน้าตึก
          “พี่รักฟางนะ  พี่รักฟาง”  เธอหันกลับมา  แล้วตบหน้าผมห้าที  ก่อนจะวิ่งไปอีกครั้ง  ผมหมดแรงจะตามเธออีกแล้ว  ทุกสิ่งประดังเข้ามาในชีวิตจนผมตั้งตัวไม่ทัน  ทั้งการต้องทะเลาะกับแฟน  ทั้งความรู้สึกที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย
          เท้าผมก้าวไปเรื่อยๆและหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง  บ้านของคนที่คุ้นเคยแต่วันนี้ผมไม่กล้าแม้แต่จะกดออด  ตอนนี้เริ่มค่ำแล้ว  ฝนก็ตกโปรยปราย  ผมซุกม้วนภาพที่ตั้งใจจะมอบให้โฟร์ไว้ในเสื้อเพื่อไม่ให้เปียก  แม้น้ำฝนจะตกลงบนใบหน้าที่มีรอยแผลจากการโดนตบเมื่อครู่  ซึ่งทำให้ผมรู้สึกเจ็บไม่น้อย  แต่ผมไม่สนใจ  การได้ขอโทษเธอย่อมเป็นสิ่งสำคัญกว่า  อาจทำให้เธอยอมมองหน้าผมบ้าง  หลังจากที่พยายามหลบหน้าผมมาตลอด
          รถเบ็นซ์คันใหญ่แล่นมาจอดที่หน้าบ้าน  ผมรีบหลบไปที่ประตูโดยอัตโนมัติ  โฟร์ออกมาจากรถพร้อมร่มสีชมพู  โบกมือให้กับคนในรถด้วยรอยยิ้มสดใส  ก่อนที่รถคันนั้นจะแล่นออกไป
          โฟร์เดินเข้ามาเปิดประตูก็เจอกับผมพอดี  เธอมีสีหน้าตกใจและพยายามเดินเลี่ยงผมไป  แต่ผมขวางเธอไว้  และพยายามรวบรวมความกล้าพูดกับเธอ
          “ต้นขอ............”
          “พอเถอะค่ะ  ฉันว่าคุณกลับไปดีกว่า”  เธอขัดขึ้นก่อนที่ผมจะพูดจบประโยค  ฉันกับคุณงั้นเหรอ  ทำไมตอนนี้ผมกับเธอช่างห่างกันเหลือเกิน
          “ฟังต้นอธิบายก่อนได้ไหม”
          “อย่ามายุ่งกับฉันอีกเลย”
          “ต้นมีเหตุผลนะ”
          “ไม่มีหรอก  คุณลาออกจากทีมบาส  เพราะแค่แพ้ครั้งเดียว  ฉันผิดหวังในตัวคุณจริงๆ”  เสียงเธอสั่น  เสียงเธอบีบคั้นหัวใจผมมาก  เธอไม่รู้หรอกว่าทำไมผมถึงต้องลาออก  เธอไม่มีวันรู้เหตุผลที่แท้จริงของผมได้เลย  เพราะผมไม่มีวันบอกเธอ
          “แล้วเรื่องวันนั้น  ที่บ้าน  ต้นไม่ได้ตั้งใจ”
          “ฉันไม่ถือสาคนอย่างคุณหรอก”  เธอตอบด้วยเสียงเย็นชา  ก่อนจะเดินเข้าบ้านไปโดยไม่สนใจผมอีกเลย
          ผมเดินกลับบ้านด้วยความผิดหวัง  ท่ามกลางสายฝน  ผมรู้สึกว่าหัวใจผมกำลังแตกสลาย และผมกำลังร้องไห้  ร้องไห้กับความเลวของตัวเอง
          ผมเอาภาพเธอไปใส่กรอบและตั้งใจจะนำไปให้ที่มหาวิทยาลัย
          วันต่อมา  ผมประคองกรอบรูปนั้นอย่างทะนุถนอมและยืนรอเธออยู่หน้าตึกเรียน  ฟลุคขับรถมาส่งเธอ  ภาพทั้งคู่สวีทหวานแหววกันทำให้ผมต้องเมินหน้าไปทางอื่น  ต่อจากนี้  แค่ขอโทษเธอ  แล้วผมจะไม่เสียใจอีก
      โฟร์เดินมาพร้อมฟลุค  และผมก็เดินไปดักหน้าทั้งคู่
          “ขอเวลาคุยกับโฟร์หน่อย”
          “เราคุยกันจบแล้วเมื่อวาน”
          “ต้นมีของจะให้โฟร์”
          “ให้ตรงนี้เลยก็ได้”
          “ขอเวลาหน่อยไม่ได้หรือไง  หรือว่าหลงแฟนจนไม่มีเวลาให้เพื่อนแล้ว”  ผมเสียใจที่พูดอย่างนั้นออกไป  แต่ผมโมโห  และควบคุมอารมณ์ไม่ได้  ผมดึงตัวโฟร์ออกมาจากนายฟลุค  เขาทำท่าจะเดินตามมา  แต่โฟร์ห้ามไว้
          “ไม่เป็นไรหรอกค่ะฟลุค  โฟร์จะคุยกับเขาครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย”
          ผมฉุนเฉียวมาก  แต่ก็พยายามสงบใจ  แล้วเราก็ได้คุยกันที่มุมสงบใต้ตึกนั้น
          “มีอะไรก็ว่ามา  ฉันไม่มีเวลามาก”  เธอยังไม่เปลี่ยนสรรพนามที่ใช้กับผมตั้งแต่เมื่อวาน  เราคงไม่มีทางดีกันอย่างเดิมแล้วใช่ไหม  ผมคิดอย่างท้อแท้ใจ
          “โฟร์รักเขามากไหม”  ผมกลับนอกเรื่องซะเฉยๆ  แต่จะว่าไป  นี่ก็เป็นสิ่งที่ผมอยากรู้อีกเหมือนกัน
          “ไม่เกี่ยวกับคุณ  ถ้าคุณมีเรื่องพูดแค่นี้ฉันขอตัวก่อน”
          “โฟร์ไม่เห็นต้นเป็นเพื่อนแล้วใช่ไหม  โฟร์ถึงทำเมินเฉยขนาดนี้”
          “แล้วเธอล่ะ  เธอเห็นฉันเป็นเพื่อนบ้างไหม  สิ่งที่เธอทำน่ะ..........”  เสียงของเธอขาดหายไป  
          “ใช่  ต้นไม่ได้เห็นโฟร์เป็นเพื่อน  แต่เห็นโฟร์เป็น.........”
          “พอเถอะ  ถ้าเธอจะไร้สาระแบบนี้อีกละก็  เราคงคุยกันได้แค่นี้”  เธอปฏิเสธสิ่งที่ผมกำลังจะสารภาพอย่างไม่ใยดี  
          “เดี๋ยวกันโฟร์  ฟังต้นก่อนสิ”  ผมยังไม่ทันขอโทษเธอ  แต่เธอกำลังจะไป  ผมพยายามจะรั้งเธอไว้  ผมจะเสียโอกาสสุดท้ายที่เธอให้ผมไม่ได้  แต่ผมรู้สึกมึนหัว  สายตาที่มองเธอกำลังเดินจากไปเริ่มพร่าเลือน  ผมได้ยินเสียงเพล้งจากสิ่งที่หลุดจากมือผมไป  และสติผมก็ดับวูบลง
          
      “แกมันคนไร้ค่า
            ชีวิตแกไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว
            แกทำให้ทีมแพ้
            แกทำให้คนที่แกรักต้องร้องไห้
            แกกำลังจะตาย   แกรู้ตัวไหม
            แกกำลังจะตาย”
          “ม่าายยยยยยย”  ผมตะโกนเสียงดัง  ก่อนจะตื่นขึ้น  ภาพแรกที่ผมเห็นคือหน้าโฟร์  ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา  ผมไม่แน่ใจว่าน้ำตาที่เห็น  เป็นน้ำตาของผมหรือเธอกันแน่  ผมพยายามเรียกชื่อเธอ  และเอื้อมมือไปหาเธอ
      เธอจับแขนผมเอาไว้  แล้วซบหน้าลงมือผม  ผมรู้สึกถึงความอุ่นจากน้ำในตาเธอ
          “โฟร์ร้องไห้ทำไม”  ผมถาม  “เพราะผมอีกใช่ไหม  เพราะผมอีกแล้วเหรอ”  
      เธอส่ายหน้า  แต่ผมรู้ว่าเธอโกหก  ผมทำเธอเจ็บอีกแล้ว  ไม่ว่าด้วยเรื่องอะไร  ผมทำร้ายคนที่ผมรักอีกแล้ว
          “ต้นขอโทษ  ต้นไม่ได้ตั้งใจ  ต้นมันเลวจริงๆ”  ผมรำพึงรำพันกับเธอ  รู้สึกว่าน้ำตามันเริ่มไหลมาจากนัยน์ตาผมด้วย  แม้ว่าผมไม่รู้ว่าครั้งนี้เธอร้องไห้ทำไม  แต่ผมคิดว่าเป็นเพราะผมแน่นอน
          “ทำไมต้นไม่บอกโฟร์  เรื่อง....................”  เสียงเธอขาดหายไปอีกแล้ว  ผมอุ่นใจขึ้นเมื่อเธอเรียกผมว่าต้น  ไม่ใช่คุณหรือเธออย่างวันก่อน  
          “ไม่ต้องห่วงหรอกโฟร์”  ผมรู้แล้วว่าเธอหมายถึงอะไร  ผมรู้เพราะตอนนี้ผมอยู่ที่โรงพยาบาล
          “แต่.............................”  สถานการณ์ระหว่างเราตอนนี้  ทำให้เธอพูดไม่ออกอีกครั้ง  ผมพยายามยิ้มเพื่อบอกเธอว่าผมไม่เป็นไรจริงๆ
          “ถึงต้นจะเป็นมะเร็ง  แต่ต้นก็ไม่ได้ตายวันนี้เสียหน่อย”  ผมพยายามบังคับเสียงที่ตอบเธอไปไม่ให้สั่น  ผมรู้ว่าผมเป็นโรคนี้เมื่อหลายเดือนก่อน  ตอนที่ผมเป็นลมขณะซ้อมบาส  ผมแปลกใจตัวเองเพราะปกติผมแข็งแรงมาก  ไม่เคยเป็นลมเลยสักครั้งในชีวิต  ผมไปหาหมอ  แล้วหมอก็บอกความจริงแก่ผม  ผมเสียใจและแทบหมดหวังในชีวิต  ผมจะลาออกจากทีมบาส  เพื่อนๆพยายามถามเหตุผล  แต่ผมก็ไม่ปริปากบอกใคร  ผมไม่อยากให้ใครไม่สบายใจ  พอแข่งเสร็จ  ผมจึงลาออก  ใครๆก็คิดว่าที่ผมทำอย่างนั้น  เพราะผิดหวังที่ทำให้ทีมแพ้  แต่จริงๆแล้ว  ผมไม่แข็งแรงพอต่างหาก  ผมไม่มีแรงที่จะก้าวไปสู่ฝันแล้ว  ผมกำลังจะตาย
          ความหวังเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่คือการเรียนวาดภาพ  ผมตั้งใจจะเรียนเพื่อวาดภาพโฟร์  พอผมลาออกจากทีม  ผมก็มีเวลาทุ่มเทได้อย่างเต็มที่  สิ่งนี้ทำให้ผมมีความหวัง  และรู้สึกว่าชีวิตมีค่าขึ้นอีกครั้ง  แม้ว่าตอนนั้น  ผมจะไม่เข้าใจว่า  ผมทำไปเพราะอะไรกันแน่
          “พักผ่อนมากๆนะต้น  จากนี้ไปโฟร์จะดูแลต้นเอง” เธอบอกและวางศีรษะลงบนอกผม  ผมกอดเธอ  อยากหยุดเวลาไว้แบบนี้ตลอดไปจัง
      หลังจากวันนั้น  เธอก็มาที่โรงพยาบาลทุกวัน  คอยดูแลทุกเรื่องตั้งแต่อาหารการกิน เรื่องยา  เช็ดตัว  เธออ่านนิยายให้ผมฟังด้วย  ฟังๆแล้วก็สนุกดีเหมือนกันนะ  พระเอกกับนางเอกเป็นเพื่อนสนิทกัน  ชอบทะเลาะกัน  สุดท้ายก็มารักกัน  พระเอกเป็นชายหนุ่มรูปหล่อ  เท่ห์  สุภาพเรียบร้อย  พูดจาดี  เหมือนกับที่เธอเคยบอกให้ผมเป็นเมื่อก่อนไม่มีผิด  ผมเดาใจเธอถูกใช่ไหมล่ะ  ว่าเธอพยายามเปลี่ยนผมให้เหมือนพระเอกในนิยายของเธอ  ถ้าตอนนั้นผมยอมทำตาม  ผมอาจจะได้สมหวังกับเพื่อนสนิทเหมือนในนิยายก็ได้  แต่ตอนนี้มันสายไปแล้ว  เพราะพระเอกตัวจริงของเธอกำลังเดินเข้ามา
          “เป็นไงบ้าง  ไม่มีนายอยู่ในทีม  ทีมเราฟอร์มตกแพ้มาสามครั้งแล้ว”  ฟลุคบอกเศร้าๆ
          “พยายามต่อไป  สักวันทีมนายก็จะชนะ” ผมปลอบเขา  ตกลงใครป่วยกันแน่นะ
          “ทีมเรา  ไม่ใช่ทีมฉัน  เข้าใจไหมต้น”  ผมพยักหน้าให้เขา  รู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก  ตอนนี้ความรักกำลังรายล้อมรอบตัวผมไปหมด  ผมมีความสุขจัง  แม้ผมจะรู้ตัวว่ามีชีวิตต่อไปได้อีกไม่นานนัก  แต่ผมก็มีความสุข  พ่อแม่ผมมาถึงในวันต่อมา  ท่านดูเศร้า  ผมยิ้มให้ท่านเพื่อบอกให้รู้ว่า  มันเป็นเรื่องธรรมดา  ทั้งพ่อแม่และโฟร์ช่วยกันพยาบาลผมทุกวัน  ทุกคนอยู่กับผมตลอดเวลา  นี่เป็นช่วงเวลาที่ผมจะจำจำไปชั่วชีวิต
          พักหลังๆ พ่อแม่เริ่มปล่อยให้ผมอยู่กับโฟร์ตามลำพัง  ท่านคงอ่านสายตาที่ผมมองโฟร์ออก  แต่ขออย่าให้โฟร์อ่านออกเลย  ผมไม่อยากให้เธอรู้  ผมไม่อยากทำลายความสุขระหว่างเธอกับฟลุค
          “ช่วงนี้ไม่เห็นฟลุคมาส่งโฟร์เลยนะ”
          “เขายุ่งกับการซ้อมบาสน่ะ”
          “ใกล้สอบอีกแล้วสินะ”
          “อาทิตย์หน้า”
          “โฟร์ไปอ่านหนังสือเถอะ  ไม่ต้องมาดูแลต้นหรอก”
          “โฟร์สัญญาไว้แล้ว”    
          “ที่โฟร์ทำให้ต้นตอนนี้  มันก็มากเกินพอแล้วนะ”
          “โฟร์อยากทำให้มากกว่านี้”
      แล้วเราต่างก็เงียบไป  เธอปอกแอปเปิ้ลส่งให้ผม  ผมยื่นมือมารับ  แต่เธอดึงมือกลับ
          “ล้อเล่นอะไรอีกล่ะโฟร์”
          “อ้าปากสิ  โฟร์จะป้อน”  เธอบอกแล้วยิ้มให้ผมอย่างเขินๆ  ผมกินแอปเปิ้ลที่เธอป้อนที่ละชิ้นอย่างมีความสุข  แล้วประตูก็เปิดออก  ฟลุคเดินเข้ามาเห็นพอดี  เราสามคนตกใจมาก  แล้วฟลุคก็เดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
          “ไปปรับความเข้าใจกันสิ”  ผมบอก  พยายามผลักเธอออกไป  แม้ว่าในใจจะคิดว่า  อย่าออกไปเลย  อยู่กับผมที่นี่เถอะ  ผมทนเห็นโฟร์กับฟลุคอยู่ด้วยกันไม่ได้  แต่นั่นเป็นความเห็นแก่ตัว  ผมควรเห็นแก่ความสุขของคนที่ผมรักมากกว่า
          “เราเลิกกันแล้วต้น”  เธอบอกผมด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน
          “ทำไม”
          “โฟร์ไม่ได้รักเขา”  เธอบอกพลางถอนหายใจ  แต่เธอไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรเลย  ผมสังเกตจากสีหน้าและแววตาของเธอ  ผมไม่ได้เซ้าซี้เธออีก  
      เวลาสอบใกล้เข้ามาทุกที  ผมนึกถึงภาพห้องสอบที่ผมเคยนั่งเมื่อปีก่อน  ผมคงไม่มีวันนั้นอีกแล้ว  แต่โฟร์ยังมี  เธอยังต้องอ่านหนังสือ  ผมไม่ปล่อยให้เธอสอบตกเพราะผมแน่
      “โฟร์อย่ามาเยี่ยมต้นอีกได้ไหม”
      “ทำไมล่ะ”  เธอถามด้วยแววตาน้อยใจ
      “ใกล้สอบแล้ว  โฟร์ต้องอ่านหนังสือ”
      “อ่านจบแล้ว”
      “โกหก”
      “จริงๆ”
      ผมเอื้อมมือไปหยิบหนังสือและเริ่มตั้งคำถาม  เธอตอบผมไม่ได้เลย  ผมจึงไล่ให้เธอกลับบ้าน  ถึงเธอจะร้องไห้  ผมก็จะทำ  ทำเพื่ออนาคตของเธอ  แล้วเธอก็ร้องไห้จริงๆ  ผมจึงต้องอ่อนลง
      “ขอร้องล่ะโฟร์  อย่ามาเสียเวลากับต้นเลย  โฟร์ยังมีอนาคตนะ”
      “โฟร์อยากดูแลต้น  เข้าใจไหม  โฟร์อยากดูแลต้น”
      “แต่ต้นไม่อยากให้คนที่ต้น.........”  ผมเกือบเผลอหลุดคำว่ารักออกไปเสียแล้ว  
      “คนที่ต้นทำไมเหรอ” เธอจ้องผมด้วยแววตาสดใส ทำไมเธอถึงเกิดสงสัยคำพูดของผมขึ้นมาในตอนนี้นะ  ผมมองตาเธอ  อยากจะสารภาพความในใจที่ผมมี  แต่เราเป็นเพื่อนสนิทกัน  เราสนิทกันเกินกว่าผมจะกล้าเอามิตรภาพของเราเป็นเดิมพัน  ถ้าเธอรู้  แล้วโกรธผมอีกเหมือนตอนนั้น  ผมคงไม่มีทางทนได้  ผมตัดสินใจแล้ว  ว่าความในใจของผมจะเป็นความลับตลอดไป
      “คนที่ต้นสนิทที่สุด  ต้องมาเสียอนาคตเพราะต้น” ผมไม่ทันเห็นความผิดหวังในดวงตาเธอ  สุดท้าย  เธอก็ยอมแพ้  แต่เธอก็ยังต่อรองกับผม  เธอเอาหนังสือมาอ่านข้างเตียงผมทุกวัน
      เวลาผ่านไป  ดวงตาของผมเริ่มพร่าเลือน  สมองของผมเริ่มปะติดปะต่ออะไรไม่ได้  ผมเป็นใคร  อยู่ที่ไหน  ผมไม่รู้  รู้เพียงแต่ผมกำลังเฝ้ามองผู้หญิงคนหนึ่งอยู่  เธอมานั่งอ่านหนังสือข้างเตียงผมและยิ้มให้ผมทุกวัน  ผมมีความสุขแม้ร่างกายจะเจ็บปวด  ลมหายใจผมแผ่วลงทุกทีๆ  เธอลุกขึ้นมายืนตรงหน้าผม  เสื้อที่เธอสวมเป็นสีขาวสะอาดตา  กระโปรงสั้นสีดำทำให้เธอดูน่ารัก  ผมจ้องตอบสายตาเธอ  แม้ว่าตาผมจะพร่าเหลือเกินแล้ว  ผมเห็นว่าเธอพยายามจะพูดอะไรบางอย่างกับผม
      “วันนี้สอบวันสุดท้ายแล้ว  อีกสองชั่วโมงโฟร์ก็จะกลับมาดูแลต้นตลอดไป  โฟร์รักต้นนะ  ต้นรอโฟร์นะ  รอนะ”  ผมพยายามอ่านปากเธอ  เพราะหูผมแทบไม่ได้ยินเสียง  โฟร์รักต้น  แล้วโฟร์คือใคร  ต้นคือใคร  เธอจะให้ผมรออะไร  ผมเจ็บมาก  แต่ผมจะรอเธอ  เพราะผมรักเธอ  ผมเชื่อว่าเธอต้องกลับมาหาผม  ผมหลับตาลงช้าๆหลังจากร่างเธอลับไปจากสายตาผม  ผมจะรอ  ผมจะรอ  ผมอึดอัดเหลือเกิน  เจ็บปวดราวกับว่าร่างกายจะแตกสลาย  ลมหายใจของผมกำลังจะหมดไป  แต่ผมจะรอ  ผมจะรอ  ผมจะรอเธอ.........................

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×